jabaljuba.blogspot.com
รีวิว Toyota Revo Rocco 2020 กระบะรุ่นแต่งพิเศษเพื่อขาลุยที่มาคราวนี้ต่างจากโฉมปกติชัดเจน พร้อมขุมพลังดีเซล 2.8 ลิตร 204 แรงม้า ในราคา 1,239,000 บาท การมาครั้งนี้ของ Toyota Revo Rocco 2020 มีจุดยืนชัดเจนที่จะทำให้บรรดาลูกค้าซึ่งชื่นชอบรถกระบะรูปทรงแข็งแกร่งดุดัน แต่ยังอยากได้ความสปอร์ตมีระดับภายในห้องโดยสาร รวมถึงพละกำลังสุดแรงตอบโจทย์ทุกการขับขี่ และไม่ทิ้งหัวใจด้านความปลอดภัยที่เคยถูกค่อนขอดจากแฟนๆ ว่าเมื่อไรจะใส่ของดีให้มาสักที แน่นอนว่ารายละเอียดอุปกรณ์กับรูปลักษณภายนอกภายในทุกคนได้เห็นครบถ้วนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ประเด็นสำคัญที่สุดอย่างหัวข้อการขับขี่ ว่าเจ้ากระบะตัวท็อปแต่งหล่อลุยอย่าง Revo Rocco Double Cab 2.8 4x4 AT คันนี้ จะสร้างประสบการณ์อะไรให้ผู้ขับขี่ได้จดจำบ้าง และเพื่อหาคำตอบนั้นเราจึงได้เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับกระบะสายแกร่งคันนี้ ภายนอก หากย้อนไปดู Rocco โมเดลก่อนหน้าจะเห็นว่าเป็นเหมือนการนำ Revo ตัวปกติมาเสริมเติมชุดแต่งให้มีแนวดุดัน แต่พอมาเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้นด้านหน้าของโมเดลปี 2020 มีความโดดเด่นกว่ารุ่นปกติชัดเจน ด้วยกระจังหน้าทรงใหม่หล่อเข้มคล้ายกระบะฟูลไซส์จากอเมริกากับชุดแต่งรอบคันตั้งแต่กันชนหน้า ถัดมาที่ไฟหน้ายังใช้เป็นโคมโปรเจคเตอร์ Bi-LED อันมีไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED เป็นแถบเล็กอยู่ในโคมเดียวกัน และยังได้ไฟตัดหมอก LED กับโคมไฟท้าย LED ทรงล่าสุด ชุดแต่งรอบคันได้มาหากซื้อ Rocco ทุกรุ่นย่อยมีหลายรายการ อาทิ ขอบคิ้วสีดำมีแถบโคมเมียมแปะอยู่เหนือซุ้มล้อ โรลบาร์เหนือกระบะท้ายสีดำ และกันชนท้ายทรงแข็งแรงที่ใส่เซ็นเซอร์ถอยหลังมา 4 จุด ส่วนล้ออัลลอยลายใหม่ยังคงขนาด 18 นิ้ว ใส่ยาง All-terrain ขอบขาวไซส์ 265/60R18 จากนั้นจึงเสริมระบบช่วยผ่อนแรงเปิดปิดกระบะท้ายมาอีกด้วย ภายใน จริงๆ แล้วตอนที่เห็นรูปภายในของ Rocco 2020 ที่มีเส้นสายเหมือนเดิม แต่พอได้มีโอกาสสัมผัสรถคันจริงก็รู้ทันทีเลยว่า การเพิ่มเติมทริมตกแต่งลายโลหะสีเทาเข้มกับไฟสร้างบรรยากาสสีน้ำเงิน ช่วยให้ห้องโดยสารโทนสีดำดูดีขึ้นกว่าโมเดลก่อนชัดเจน ในหัวข้อความสบายได้รับเบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง กับระบบปรับอากาศอัตโนมัติควบคู่ช่องแอร์ด้านหลัง กับเบาะนั่งแถว 2 ที่มีพนักวางแขนพร้อมช่องวางแก้วน้ำ ขณะเดียวกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กๆ คุณผู้หญิง หรือผู้สูงวัย จึงมีการติดตั้งมือจับโหนขึ้นรถบริเวณเสา B-pillar ทั้งสองฝั่ง บริเวณมาตรวัดหน้าผู้ขับขี่ยังคงให้เข็มวัดความเร็วกับรอบเครื่องสีน้ำเงิน ระหว่างมาตรวัดมีจอสีแสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ ที่รอบนี้ได้เพิ่มระบบแสดงองศาการเลี้ยวของล้อหน้า เพื่อช่วยให้การขับขี่ออฟโรดทำได้มั่นใจยิ่งขึ้น หัวข้อความบันเทิงบนกระบะคันนี้ได้รับระบบอินโฟเทนเมนท์พร้อมจอสัมผัส 8 นิ้ว ที่คราวนี้ทันสมัยเหมือนพรรคพวกร่วมบริษัท เพราะสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay ได้แล้ว ส่วนคำถามที่ว่าต่อ Android Auto ได้หรือไม่นั้น เราเคยได้ลองเสียบบน Toyota Altis Hybrid แล้วใช้ได้ จึงคาดว่ารถรุ่นใหม่ๆ ของโตโยต้าคงใช้ได้เหมือนกัน การอัพเดตรอบนี้ของ Revo Rocco หรือ Revo ในหลายรุ่นย่อย ได้ระบบ T-Connect ที่ให้เจ้าของรถสามารถตรวจสอบสถานะกระบะคันโปรดได้ทุกที่ทุกเวลา กรณีรถถูกโจรกรรมทำการติดตามหาได้ทันท่วงที หรือจะเป็นการโทรหาคอลเซ็นเตอร์ในกรณีฉุกเฉินก็ทำได้ และยังเชื่อมต่อเพื่อใช้งานกับประกันภัยแบบ Telematics ซึ่งประเมินพฤติกรรมผู้ขับขี่ตลอดเวลา หากขับดีก็จะได้ส่วนลดเบี้ยประกันในปีต่อไป เหนือสิ่งอื่นใดรอบนี้โตโยต้าไม่ยอมแพ้คู่แข่งจากอเมริกา เพราะพวกเขาติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense อันมีระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และรับบแจ้งเตือนรถในมุมอับ เครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบเรียง ขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV สร้างกำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที พร้อมเปลี่ยนไปใช้หัวฉีดแบบ i-ART อันเป็นสาเหตุแห่งความแรงที่เพิ่มขึ้น จากนั้นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-time 4WD เกี่ยวก้อยระบบล็อคเฟืองท้ายหลังมาด้วย ประเด็นช่วงล่างเริ่มจากด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบแหนบซ้อนมีการถอดแหนบบรรทุกจากเดิม 5 แผ่น ลดเหลือ 3 แผ่น กอปรกับเปลี่ยนวัสดุแหนบแผ่นกลางเป็นเหล็ก High Tensile steel ให้น้ำหนักเบาลงแต่กลับแข็งแรงมากขึ้น และจากนั้นจึงปรับจูนโช้คใหม่ให้ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าเดิม การขับขี่ ด้วยความที่เราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนปรับตัวใช้ชีวิตแบบ New Normal ทางโตโยต้าจึงจัดทดสอบ Revo Rocco ใหม่ ในสนาม TOYOTA Driving Experience Park ย่านบางนา ด้วยการจำลองสถานีการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เหล่าสื่อมวลชนรับรู้ทุกแง่มุมการขับขี่กระบะสายลุยรุ่นท็อปคันนี้ เริ่มจากโตโยต้าได้อธิบายรายละเอียดต่างๆ ของสถานีทดสอบที่เราจะได้พบเจอ โดยมีทีมงานขับรถให้ดูหนึ่งรอบจากนั้นเราจึงขับเองอีกหนึ่งรอบ ซึ่งก็พอจับอาการได้ประมาณหนึ่งและบอกกล่าวได้ว่า Rocco ใหม่คันนี้มีอะไรต่างจากโมเดลก่อนบ้าง เราประเดิมการทดสอบแรกด้วยการค่อยๆ ขับรถออกจากจุดเริ่มต้น ไปสู่สถานีที่หักหลบสิ่งกีดขวางในความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม. เพื่อดูว่าพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฮโดรลิกที่เสริมระบบช่วยผ่อนแรงแบบ VFC (Variable Flow Control) ช่วยให้การหมุนเป็นเช่นไร โดยเราหักเลี้ยวพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำได้คล่องมือขึ้น ไม่ได้รู้สึกถึงแรงต้านจนต้องเพิ่มน้ำหนักเหมือนกับรุ่นก่อน อีกทั้งยังคงความคมกำลังดีระหว่างหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นขับเข้าสู่การทดสอบระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA ที่ให้ขับความเร็วเกิน 50 กม./ชม. แล้วปล่อยให้รถเบี่ยงออกข้างทาง ซึ่งตัวระบบสามารถหักพวงมาลัยกลับให้วิ่งตรงตามเดิมได้นุ่มนวล ต่อมาเป็นสถานีขับรถสลาลมด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. มีการวางระยะห่างของกรวยต่อกรวยไว้ 25 ม. ซึ่งสิ่งที่เราสัมผัสได้จากช่วงล่างที่ถูกปรับปรุงใหม่ คือการโยกตัวที่น้อยลงกว่าตัวก่อนหน้า จังหวะการถ่ายน้ำหนักเปลี่ยนทิศทางทำได้ราบรื่น มิได้ปรากฎอาการรถโยกแบบยวบหรือตึงตังให้ตกใจแต่อย่างใด เมื่อรวมกับพวงมาลัย VFC ส่งผลให้การควบคุมรถหลบสิ่งกีดขวางมีความเฉียบคมมั่นใจ จากน้ำหนักที่กำลังพอเหมาะกับความเร็วซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น พอพ้นชุดกรวยก็จะเจอกับสถานีเปลี่ยนเลนฉุกเฉิน สร้างผลลัพธ์น่าพอใจไม่ต่างจากแบบทดสอบก่อนหน้า ในสถานีอัตราเร่งนี้ได้สัมผัสถึงพลังเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 204 แรงม้าชัดเจนขึ้น โดยจังหวะกดออกตัวแบบเต็มเท้ารถทะยานพุ่งไปข้างหน้าให้ความรู้สึกแรงดึงใกล้เคียงรุ่นเก่า แต่พอให้พี่สื่อที่นั่งมาด้วยกันจับเวลาให้ ตัวเลขนั่ง 3 คน ทำเวลาได้เร็วขึ้นราว 1 วินาทีเลยทีเดียว จุดนี้ถ้าใครซีเรียสเรื่องความแรงขอบอกว่าสอบผ่าน สาเหตุแห่งความแรงนี้มีหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ การเปลี่ยนเทอร์โบชาร์จให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมเพิ่มตลับลูนปืนแบบ Ball Bearing ในแกนเทอร์โบ เพื่อการหมุนอันลื่นไหลกว่าเดิมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จากนั้นเคลือบสาร Diamond-liked บนแหวนรองลูกสูบที่มาช่วยเรื่องความประหยัดน้ำมัน และปิดท้ายกับหัวฉีด i-Art ซึ่งมีการประมวลผลการจ่ายน้ำมันแยกเฉพาะแต่ละหัวฉีด มอบสมรรถนะทั้งความแรงและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประหยัดขึ้น เรื่องระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ยังคงใช้ลูกเดิม แต่ทางวิศวกรได้เพิ่มช่วง Lock-up ของเกียร์ 4,5 และ 6 สร้างการตอบสนองทันทีทันใดเมื่อเรากดคันเร่งเพื่อเติมพลังเร่งแซง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่แซงด้วยการกดคันเร่งเพียง 25-70% ในรอบเครื่องช่วง 1,600-1,800 รอบต่อนาที ทำให้การเปลี่ยนเกียร์จาก 3 ไป 4 ฉับไวขึ้น อันเป็นสถานการณ์ที่คนทั่วไปขับรถใช้งานในชีวิตประจำวัน ผ่านพ้นช่วงเร่งเครื่องเค้นความเร็วไปแล้วก็ต้องชะลอความเร็วเพื่อเข้าสู่สถานีต่อไป โดยชุดเบรกหน้ายังคงเป็นแบบดิสก์หน้ากับดรัมหลังอยู่ แต่โตโยต้าได้ปรับปรุง Brake Actuator หรือตัวควบคุมวาล์วแรงดัน ทำให้การจับตัวของเบรกเมื่อระบบ ABS หรือระบบ HDC ขณะขับลงทางลาดชันทำงานได้รวดเร็วและแทบไม่สร้างเสียงรบกวน ประเด็นการตอบสนองของเบรกจับตัวได้ไวกำลังพอดี การกดไล่เพิ่มน้ำหนักแปรผันได้เหมาะสมตามระยะเบรกที่เราคิดไว้ จุดนี้ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเพศหรือวัยไหนก็ปรับตัวเพื่อขับ Rocco ได้ง่ายดาย อีกทั้งเมื่อกดเบรกแบบเต็มเท้าระยะเบรกจาก 100 กม./ชม. ถึงจุดหยุดนิ่งทำได้สั้นราว 46-48 ม. อยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มกระบะด้วยกัน มาถึงช่วงทดสอบการข้ามเนินคอสะพานขาขึ้นมีความนุ่มนวลกำลังดี แต่พอขาลงยังรู้สึกถึงอาการช่วงล่างท้ายดีดสู้ตามสไตล์รถกระบะเล็กน้อย ซึ่งหากเทียบกับโมเดลก่อนหน้าต้องบอกว่าอาการนี้เบาบางลงชัดเจน การขับขี่ผ่านถนนพื้นผิวขรุขระในความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. ซับแรงสะเทือนได้ในระดับดีเนื่องจากช่วงล่างไม่ได้ส่งแรงกระแทกแบบทุกเม็ดทุกหน่วยมาสู่ห้องโดยสาร สัมผัสได้ว่าตัวรถพยายามเก็บอาการไว้ที่ช่วงล่างให้มากที่สุด จุดนี้ขอชมเชยว่า Rocco ใหม่ มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้น ประเด็นเสียงรบกวนนั้นกระบะคันนี้ทำได้ประทับใจที่สุด รอบเดินเบาเราได้ยินเสียงเครื่องทำงานกับสั่นสะเทือนน้อยมากๆ หากไม่กดคันเร่งออกก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่บนรถเครื่องดีเซล เช่นเดียวกัน เมื่อกดคันเร่งเพื่อรีดกำลังเสียงที่ดังเข้าภายในมีโทนทุ้มไม่ได้แผดดังน่ารำคาญ เสียงลมที่ไหลผ่านตัวรถนั้นเราจับอาการได้น้อยมาก เพราะความเร็วที่ 100 กม./ชม. อยู่ช่วงดังกล่าวในระยะเวลาสั้นๆ ส่วนเสียงยางบดถนนถือว่าเงียบใช้ได้เลยทีเดียว โดยหลังจากทดสอบเสร็จเราได้สอบถามกับทางวิศวกรว่าทำอะไรกับเรื่องเสียงรบกวนบ้าง พวกเขาบอกเราอย่างภูมิใจว่าได้ใช้เวลาเพื่อหาว่าเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นเมื่อขับขี่บนถนนในไทย มีโทนเสียงหรือค่าเฉพาะใดบ้างที่จะใช้วัสดุซับเสียงมาลดทอนเสียงเข้าห้องโดยสาร ผลจากการตั้งใจทำให้ Revo ใหม่ เงียบขึ้นอยู่ในระดับ 85% เมื่อเทียบกับรถกระบะในตลาดเจ้าอื่นที่อยู่ราว 80% สรุป การได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับ Revo Rocco 2.8 4x4 ทำให้เรารู้ทันทีว่าโตโยต้าเอาใจลูกค้ามาใส่ใจพวกเขามากขนาดไหน โดยรถคันที่เห็นอยู่นี้เกิดจากการน้อมรับคำติชมตลอดจนความต้องการที่มีของลูกค้า มาสร้างสรรค์เป็นกระบะหนึ่งคันที่มีความกลมกล่อมลงตัว ทั้งภาพลักษณ์ดูลุยเข้าได้ทุกเส้นทาง ห้องโดยสารโอ่โถ่งมีระดับนั่งสบาย หรือเครื่องแรงขึ้นกับช่วงล่างขับแล้วผ่อนคลายมั่นใจ และความปลอดภัยที่รอบนี้ใส่ของไฮเทคมาให้แล้ว หากคุณต้องการกระบะที่ตอบทุกสิ่งในการใช้ชีวิตของคุณ Rocco คันนี้ เป็นตัวเลือกที่คุณมิควรมองข้าม [gallery size="large" td_select_gallery_slide="slide" td_gallery_title_input="Review Toyota Revo Rocco 2020" ids="38813,38815,38817,38819,38821,38823,38825,38827,38829,38831,38833,38835,38837,38839,38841,38843,38845,38847,38849,38851,38853,38855,38857,38859,38861"]
"อย่างไร" - Google News
June 27, 2020 at 07:25AM
https://ift.tt/31lL9az
“ไฟหน้ารถเหลือง” ต้องทำอย่างไรถึงกลับมาใสเหมือนเดิม? - Top Gear Thailand
"อย่างไร" - Google News
https://ift.tt/3ctjMND
Bagikan Berita Ini
Saturday, June 27, 2020
อย่างไร
0 Response to "“ไฟหน้ารถเหลือง” ต้องทำอย่างไรถึงกลับมาใสเหมือนเดิม? - Top Gear Thailand"
Post a Comment