ไข้เลือดออก เช็กอาการ-ดูแลคนในบ้านอย่างไร?
วันที่ 05 ก.ค. 2563 เวลา 08:35 น.
ทุบสถิติทะลุสองหมื่นราย Dengue Fever โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายหน้าฝนอันตรายของคนทุกวัย แพทย์แนะสังเกต 9 สัญญาณอันตรายต้องรีบไปหาหมอ แล้วถ้ามีคนในครอบครัวเป็นโรคไข้เลือดออก เราจะดูแลอย่างไร?
ในฤดูฝนมีโรคร้ายที่เราต้องเผชิญอีกหนึ่งโรคคือ “โรคไข้เลือดออก” จากสถานการณ์ไข้เลือดออก เดือนมกราคม–สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2563 โดยกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร สรุปตัวเลขรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยสะสมมากถึง 22,639 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 12 ราย และมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำลายจากสถิติผู้ป่วยและเสียชีวิตจากปี 2557-2560 ปี ที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือในปี 2558 จำนวน 21,232 ราย
สำหรับกรุงเทพมหานคร มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 1,560 ราย อัตราผู้ป่วยตตามกลุ่มอายุที่พบสูงสุดในกรุงเทพมหานคร 3 ลำดับแรกคือ
- กลุ่มอายุ 5 -14 ปี (57.26 ต่อประชากรแสนคน)
- กลุ่มอายุ 15 -34 ปี (45.63 ต่อประชากรแสนคน)
- กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี (29.50 ต่อประชากรแสนคน)

การดำเนินโรคของโรคไข้เลือดออกเดงกี แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะไข้
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส บางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง (flushed face) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรืออาการไอ เบื่ออาหาร อาเจียน และไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน อาจพบมีผื่นแบบ erythema หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella ได้ อาการเลือดออกที่พบบ่อยคือ ที่ผิวหนัง การทำ tourniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) ส่วนใหญ่จะคลำตับ โต ได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่มและกดเจ็บ
- ระยะวิกฤติ/ช็อก
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี จะมีอาการรุนแรง มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน) ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง และจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังเริ่มมีภาวะช็อก
- ระยะฟื้นตัว
ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อกเมื่อไข้ลดส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยช็อกถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ระยะฟื้นตัวมีช่วงเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน
ในปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี จึงให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ แพทย์ผู้รักษาจะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จะต้องมีการดูแลรักษาพยาบาลที่ดีตลอดระยะวิกฤต คือ ช่วง 24-48 ชั่วโมง ที่มีการรั่วของพลาสมา หลักในการรักษามีดังนี้
ในระยะไข้สูง บางรายอาจมีอาการชักได้ถ้าไข้สูงมาก ให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน, ibrupophen, steroid เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดเสียการทำงาน จะระคายกระเพาะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นให้ผู้ป่วยได้สารน้ำชดเชย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำและเกลือโซเดียม ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ตรวจพบและป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลาดูการเปลี่ยนแปลงของเกล็ดเลือดและ hematocrit เป็นระยะๆ เพราะถ้าปริมาณเกล็ดเลือดเริ่มลดลง และ hematocrit เริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าน้ำเหลืองรั่วออกจากเส้นเลือดและอาจจะช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชยสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกหรือเลือดออก แพทย์จะต้องให้การรักษาเพื่อแก้ไขสภาวะดังกล่าว ด้วย สารน้ำ พลาสมา หรือสาร colloid อย่างระมัดระวัง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยและป้องกันโรคแทรกซ้อน

9 สัญญาณอันตรายของโรคไข้เลือดออก
นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระบุรี แนะนำ 9 สัญญาณอันตรายที่จะบ่งบอกว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถ้ามีอาการต่อไปนี้ ต้องไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ได้แก่
- ไข้ลดลง แต่ยังไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ อาทิเช่น เบื่ออาหาร ไม่ค่อยเล่นและอ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา
- ปวดท้องมาก
- มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
- พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปจากปกติ
- กระหายน้ำตลอดเวลา
- ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
- ตัวเย็นชื้น สีผิวคล้ำลง หรือตัวเป็นลายๆ
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 4-5 ชั่วโมง
ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นโรคไข้เลือดออก เราจะดูแลอย่างไร?
การดูแลผู้ป่วยที่บ้านนั้นก็สำคัญมากการดูแลก็สามารถใช้วิธีปฏิบัติง่ายๆ คือ
- การเช็ดตัวให้ผู้ป่วยไม่ให้ตัวร้อนจัด
- ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนและอาหารที่ทำให้ร่างกายสดชื่น เช่น น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ และพักผ่อนมากๆ
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หรือหากจำเป็นต้องซื้อเอง ห้ามรับประทานยาแอสไพรินโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกตามอวัยวะภายใน อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
- เฝ้าสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอยู่เสมอ หากพบว่าผู้ป่วยซึมลง อ่อนเพลียมาก กินและดื่มไม่ได้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปวดท้องกะทันหัน หรืออาเจียนเป็นเลือด แสดงว่าเข้าสู่ภาวะช็อก ต้องรีบนำผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์อีกครั้งโดยเร็วที่สุด
มาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรคจากกรมควบคุมโรค
- เก็บบ้านให้สะอาด เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้หรือแขวนให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
- เก็บขยะ ที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บภาชนะใส่อาหารหรือน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ใส่ถุงดำ และนำไปทิ้งลงถังขยะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ต้องปิดฝาให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ และเปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
ซึ่งจะสามารถป้องกันได้ 3 โรค คือ
- โรคไข้เลือดออก
- โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
- โรคไข้ปวดข้อยุงลาย
"อย่างไร" - Google News
July 05, 2020 at 08:38AM
https://ift.tt/38sT5bk
ไข้เลือดออก เช็กอาการ-ดูแลคนในบ้านอย่างไร? - โพสต์ทูเดย์
"อย่างไร" - Google News
https://ift.tt/3ctjMND
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ไข้เลือดออก เช็กอาการ-ดูแลคนในบ้านอย่างไร? - โพสต์ทูเดย์"
Post a Comment