Search

Safe Haven: ประเทศไทยรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างไร? - TERRABKK

jabaljuba.blogspot.com

ย้อนกลับไปเมื่อแรกเริ่มวิกฤตโควิด 19 ในประเทศไทย ในเวลานั้นไม่มีใครคาดคิดว่าประเทศไทยจะสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือน จากการเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อโควิด 19 สูงเป็นอันดับสองของโลก ลงมาสู่ลำดับที่ 59 และสามารถคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเช่นทุกวันนี้ 

ในวันนี้ ประเทศไทยได้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อโควิด 19 น้อยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นประเทศที่ได้รับการยอบรับและยกย่องจากนานาประเทศ ถึงความมีประสิทธิภาพในการจัดการกับวิกฤตโควิด 19 

ประเทศไทยสามารถรับมือวิกฤตนี้ได้อย่างไร? ซึ่งก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น เรามาย้อนดูลำดับเหตุการณ์สำคัญในช่วงวิกฤตโควิด 19 ในประเทศไทย กันอีกครั้ง 

มกราคม 2563 ประเทศไทยได้รับนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าประเทศมา 1,030,148 คน หลังจากนั้นไม่นานไทยเป็นประเทศแรก (ไม่รวมจีน) ที่มีรายงานว่าพบผู้ติดโควิด 19 และเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีนทางรัฐบาลได้ยกระดับยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเป็นระดับ 3 เพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดโควิด 19 ครั้งใหญ่นี้

  • 7 กุมภาพันธ์ รัฐบาลไทยได้เริ่มบังคับให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต้องตรวจสุขภาพและทำการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน
  • 12 กุมภาพันธ์ มีการเฝ้าระวังมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมไป ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ และภูเก็ต 
  • 29 กุมภาพันธ์ มีการประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ของประเทศไทย
  • 15 มีนาคม ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเกิน 100 ราย และนั่นก็ทำให้ไทยกลายเป็นที่จับตาจากทั่วโลกอีกครั้ง
  • 16 มีนาคม มีการประกาศเลื่อนวันสงกรานต์อันเป็นปีใหม่ไทยออกไป เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรม ที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • 20 มีนาคม #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ คือแคมเปญที่รณรงค์ให้คนไทยทุกคนอยู่กับบ้าน เพื่อหยุดการแพร่เชื้อซึ่งกันและกัน
  • 22 มีนาคม นายกรัฐมนตรีประกาศพรก.ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการระบาดโควิด 19 ไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้
  • 3 เมษายน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) มีการประกาศยกเลิกเที่ยวบินขาเข้าประเทศทั้งหมดเป็นการชั่วคราว
  • 9 เมษายน มีการประกาศงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั่วประเทศ เพื่อระงับการสังสรรค์ชุมนุมต่างๆที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • 11 เมษายน มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่า 50 คนต่อวัน
  • 27 เมษายน ประเทศไทยสามารถควบคุมผู้ติดเชื้อใหม่จนเหลือต่ำกว่า 10 คนต่อวันได้แล้ว

Credit: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/871773

Credit: https://news.thaipbs.or.th/content/290004

ณ วันที่บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์ (5 มิถุนายน 2563) จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากวันที่ค้นพบครั้งแรกรวมทั้งสิ้นราวๆ 3,000 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตรวม 58 ราย

จากตัวเลขนี้ เราจะเห็นได้ว่าประเทศไทยนั้นมีความสามารถในการจัดการวิกฤตโควิด 19 ได้มีประสิทธิภาพ และไม่น้อยหน้าประเทศอื่นๆ ในโลก แต่เราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าวิกฤตโควิด 19 นี่เป็นความท้าทายอย่างหนักหน่วงต่อประเทศไทยและผู้ที่อยู่ในประเทศไทยทุกๆคน ในบทต่อไปนี้ เราจะกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ที่มีส่วนทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

Credit: https://in.reuters.com/article/health-coronavirus

Credit: https://marketeeronline.co/archives/153255

ประเด็นหลักๆ ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีด้วยกัน 3 หัวข้อหลักๆ ดังนี้

[1] วัฒนธรรมไทย – วัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของไทย มีส่วนอย่างยิ่งในการรับมือกับวิกฤตโควิด 19

[2] บทบาทของรัฐบาล – ในช่วงเวลาวิกฤตโควิด 19 รัฐบาลไทยมีความเด็ดขาดในการออกมาตรการต่างๆ เช่น การระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศ หรือ การบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์ และรัฐบาลได้มีการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงสาธารณสุขในการออกมาตรการจัดการและรับมือกับวิกฤตโควิด 19

[3] การเข้าถึงปัจจัยอุปโภคบริโภคและบริการต่างๆ – ประเทศไทยนั้นมีภาคเอกชนที่แข็งแกร่งและมีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับการเข้าถึงปัจจัยอุปโภคบริโภคและบริการต่างๆ ในช่วงวิกฤตโควิด 19  ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในภาวะปกติ ซึ่งสามารถลดภาวะความตึงเครียดของคนในประเทศไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าในหลายๆ ประเทศที่เกิดสภาวะขาดแคลนปัจจัยอุปโภคบริโภคจากวิกฤตโควิด 19

เรามาดูรายละเอียดของประเด็นเหล่านี้กันว่าทั้ง 3 ประเด็น ทำให้ไทยรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างไร?

ประเด็นที่ 1 วัฒนธรรมไทย

[1] วัฒนธรรมที่ไม่เน้นการสัมผัสตัว – ประเทศไทยเรามีการไหว้ เป็นการทักทายประจำชาติ ซึ่งในการไหว้นั้นจะไม่มีการสัมผัสตัวของบุคคลอื่น ดังนั้น การที่คนไทยมีวัฒนธรรมที่ไม่เน้นการสัมผัสตัว ทำให้สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด 19 ลงไปได้ ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมที่มีการสัมผัสตัวอย่างการกอดจูบจะเป็นที่เริ่มแพร่หลายในหมู่คนไทยหนุ่มสาว แต่พอเกิดวิกฤตโควิด 19 ทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะหยุดการทักทายเหล่านั้นเพื่อลดการสัมผัสตัวและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด 19 จากบุคคลสู่บุคคล

[2] การใช้หน้ากาก – การสวมใส่หน้ากากเมื่อต้องออกไปในที่สาธารณะเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ได้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตัวในสังคมไทย ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราจะพบคนไทยสวมใส่หน้ากากเวลาออกจากบ้านในช่วงวิกฤตโควิด 19 ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นเมืองไทยได้มีแคมเปญรณรงค์การสวมใส่หน้ากากเมื่อต้องออกไปในที่สาธารณะในยามเจ็บป่วย โดยเน้นย้ำว่า “เมื่อคุณไม่สบาย คุณต้องปกป้องคนรอบตัวคุณจากอาการป่วยของคุณด้วย” และในช่วงวิกฤตโควิด 19 ข้อความในการรณรงค์ก็ได้ถูกเพิ่มเติมเป็น “เมื่อคุณไม่สบาย คุณต้องปกป้องคนรอบตัวคุณจากอาการป่วยของคุณ และ ปกป้องตัวคุณเองจากอาการป่วยของคนอื่นด้วยเช่นกัน”   

[3] ความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคม – เมื่อเทียบกับในหลายๆประเทศ ความแตกต่างทางการเมืองในไทยนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงนัก คนไทยมีการติดตามการเมืองโดยเน้นที่ตัวบุคคล ดังที่เห็นได้จากการดึงตัวนักการเมืองที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเข้าสู่พรรคในต่างๆ เพื่อเสริมฐานความนิยมให้พรรคนั้นๆ แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นรูปแบบการเมืองไทยจึงไม่ได้เป็นแบบสองขั้ว แต่เป็นแบบมีหลายขั้วหลายแนวทางความคิด ส่วนตัวคนไทยเองนั้นมีความคุ้นเคยกับการเกิดรัฐประหารเป็นอย่างดี ทำให้คนไทยไม่ตื่นตระหนกและคุ้นเคยกับการปฏิบัติตัวตามมาตรการของทางรัฐบาล ทำให้ในช่วงวิกฤตโควิด 19 คนไทยส่วนใหญ่ได้พักเรื่องการเมืองลงชั่วคราวและหันมาประสานให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐในการต่อสู้และรับมือกับวิกฤตโควิด 19

[4] การใช้โซเชียลมีเดีย – ผู้คนในกรุงเทพฯมีจำนวนผู้ใช้ facebook มากกว่าจำนวนประชากรเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนไทยจะรับข่าวสารต่างๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง facebook ซึ่งเป็นช่องทางที่ทำให้รับข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และวัฒนธรรมโซเชียลมีเดียในไทย ได้ส่งผลต่อการรับมือวิกฤตโควิด 19 ดังนี้

   [a] ความเร็วในการรับข่าวสาร – การที่คนไทยส่วนใหญ่มีอาการติดโทรศัพท์และมองดูหน้าจอโทรศัพท์ตลอดเวลานั้นได้ส่งผลดีต่อการรับรู้และกระจายข่าวจากทางการในช่วงวิกฤตโควิด19 ถึงแม้คนไทยหลายคนจะไม่มีโทรทัศน์ที่บ้าน แต่คนไทยหลายคนก็ยังสามารถรับรู้ข่าวสารได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ทำให้คนไทยรับรู้และไหวตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในช่วงวิกฤตโควิด19 ได้อย่างทันท่วงที 

   [b] การคัดกรองข่าวสาร – เมื่อก่อนที่จะมีการรับรู้เรื่อง “ข่าวปลอม” นั้น คนไทยได้มีการแชร์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยปราศจากการตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของตัวเนื้อหา ทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมา แต่เมื่อเวลาได้ผ่านไป คนไทยส่วนมากได้มีการตรวจเช็คความน่าเชื่อถือของข่าวต่างๆ ในโซเชียลมีเดียก่อนที่จะทำการแชร์ออกไป และในช่วงวิกฤตโควิด 19 ในส่วนของหลายๆ สำนักข่าวในไทยได้มีการจัดทำในส่วนของ การรวบรวมข่าวปลอม เพื่อเป็นการช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของข่าวที่ถูกกระจายอยู่ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อผสานกับพฤติกรรมการตรวจสอบข่าวของคนไทย ทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเริ่มมีการการตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข่าวก่อนที่จะทำการแชร์ออกไป ทำให้ช่วยในการรับรู้และปฏิบติตามมาตรการป้องกันโควิด 19 เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น  

[5] ความเชื่อในการทำบุญ – คนไทยนั้นมีความเชื่อในเรื่องการทำบุญโดยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น สิ่งนี้ได้สะท้อนออกมาในช่วงวิกฤตโควิด 19 ผ่านทางองค์กรและกลุ่มชุมชนต่างๆ ที่ได้ทำโครงการพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด 19 เช่น การบริจาคแจกจ่ายอาหารด้วยตู้ปันสุข หรือ การรวมตัวไปทำความสะอาดบ้านพักผู้สูงอายุที่ขาดแคลนบุคลากร ซึ่งความช่วยเหลือเหล่านี้เป็นเรื่องดีๆ ที่ช่วยลดความตึงเครียดในสังคมและเสริมสร้างกำลังใจในช่วงวิกฤตโควิด 19 

Credit: https://in.reuters.com/article/us-health-coronavirus

Credit: https://fortune.com/2020/05/22

ประเด็นที่ 2 บทบาทของรัฐบาลไทย

[1] การบังคับใช้มาตรการได้ทันท่วงที – เมื่อเราพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายแรกในประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคม รัฐบาลไทยก็เข้าสู่มาตรการเฝ้าระวังทันที ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลของหลายประเทศยังคงอยู่ในช่วงถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องโควิด 19 และนับตั้งแต่เวลานั้นรัฐบาลไทยก็ได้ออกหลายมาตรการมาอย่างฉับพลันเพื่อลดและชะลออัตราความเสี่ยงการแพร่กระจายของไวรัสโควิด 19 ถึงแม้ว่าคนไทยส่วนหนึ่งจะมีการต่อต้านมาตรการต่างๆในช่วงแรก แต่เมื่อทุกคนได้รับรู้ถึงปัญหาและผลกระทบจากไวรัสโควิด 19 ทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างราบรื่น 

[2] ระบบสาธารณสุข - ระบบสาธารณสุขในประเทศไทยเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับมุมมองต่อระบบสาธารณสุขในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบสาธารณสุขในประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับที่ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทำให้คนมากมายจากหลายประเทศเลือกที่จะมาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทย ประเทศไทยมีบุคลากรชั้นนำทางการแพทย์ที่มีบทบาทในทั้งภาครัฐและเอกชน  มีส่วนช่วยอย่างมากในการรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ครั้งนี้ ทางส่วนของกระทรวงสาธารณสุขนั้นก็ได้เป็นหัวเรือในการออกมาตรการรับมือโควิด 19 ต่างๆ โดยยึดจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ทำให้การรับมือโควิด 19 เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับในประเทศอื่นๆ 

[3] อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน – อสม นั้นเป็นองค์กรที่ไม่ค่อยได้ถูกรับการพูดถึงในระดับนานาชาติเท่าที่ควร ในอดีตช่วงการระบาดของโรคเอดส์ อสม มีบทบาทอย่างมากในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส เอชไอวี ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคเอดส์ และในวิกฤตโควิด 19 นี้ อสม ก็มีบทบาทอย่างมากในการตรวจสอบและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 โดยการตรวจตราทุกครัวเรือนในหมู่บ้านและแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมในช่วงวิกฤตโควิด 19 และจัดตั้งจุดตรวจเข้าออกภายในหมู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโควิด 19 ตามหมู่บ้านต่างๆ ในประเทศไทย

ประเด็นที่ 2 การเข้าถึงปัจจัยอุปโภคบริโภคและบริการต่างๆ

[1] ภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง – ประเทศไทยมีภาคเอกชนในด้านต่างๆ ที่สามารถรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็วยามที่ประเทศไทยเกิดวิกฤต ในช่วงโควิด 19 เราได้เห็นภาคเอกชนสามารถการตอบสนองต่อนโยบายต่างๆ จากรัฐได้อย่างทันท่วงที เช่น การเพิ่มการผลิดของหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอลล์, การบังคับใช้ Social Distancing ตามซูเปอร์มาเกตและร้านค้าต่างๆ, การเพิ่มจำนวนบุคลากรในการให้บริการรับส่งอาหาร ซึ่งทำให้ช่วยในการป้องกันและชะลอการแพร่กระจายของไวรัสโควิด 19 รวมถึงช่วยให้ประชาชนที่อยู่กับบ้านได้รับความสะดวกมากขึ้น

[2] ระบบสาธารณูปโภค – ในช่วงวิกฤตโควิด 19 ประสิทธิภาพของระบบสาธารณูปโภคในประเทศไทย ได้ถูกรักษาไว้ในระดับเดียวเหมือนในช่วงเวลาปกติ ซึ่งทำให้ไม่เกิดวิกฤตขาดแคลน น้ำประปา ไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดลงได้บ้างเมื่อเทียบกับในอีกหลายๆประเทศ ทำให้การจัดการไวรัสโควิด 19 เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

[3] สังคมดิจิตอล –ในยามที่คนไทยทุกคนต้องอยู่กับบ้านในช่วงวิกฤตโควิด 19 นี้ คนไทยส่วนใหญ่ได้หันมาใช้บริการต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิตอลในมือถือและคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตอยู่บ้านตามมาตรการล็อคดาวน์โดยที่สามารถซื้อของและจ่ายเงินได้เหมือนในเวลาปกติ ซึ่งการที่คนส่วนใหญ่ลดการออกนอกบ้านลงก็ทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโควิด19 ลงไป 

[4] ระบบการจัดหาอาหาร – สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพคือระบบการจัดหาอาหาร ในช่วงวิกฤตโควิด 19 รัฐบาลไทยได้มีการออกมาตรการเพื่อช่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาและผลิตอาหาร ทำให้คนไทยไม่ต้องกังวลกับเรื่องการขาดแคลนอาหารตลอดดช่วงมาตรการล็อคดาวน์

คุณภาพชีวิตของชาวต่างชาติในประเทศไทย

ในบทความนี้เราได้พูดถึงประเด็นต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมีประสิทธิภาพในการจัดการกับวิกฤตโควิด 19 ของไทย ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าในอีกหลายๆ ประเทศ ในอีกด้านหนึ่งนอกจากประเทศไทยจะถูกหลายๆประเทศชื่นชมในการจัดการเรื่องโควิด19 แล้วนั้น ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ยังมองประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่มากๆ ในหลายๆ เรื่อง อาทิเช่น

[1] ราคาที่พักอาศัยและบริการที่พอจับต้องได้ – ราคาค่าเช่าคอนโดมิเนียมหรูสองห้องนอนในทำเลที่ดีมากๆ ในประเทศไทยนั้นราคาราวๆ 50,000 บาทต่อเดือน 

[2] ความหลากหลายของการบริการ – ไม่เพียงแค่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในประเทศไทยจะถูกกว่าในหลายๆประเทศ แต่ยังมีความหลายหลายในการบริการต่างๆ เช่น คุณสามารถพบร้านอาหารนานาชาติในหลากหลายระดับราคาให้เลือกสรร, ร้านค้าต่างๆที่สามารถรองรับคนทุกชาติได้

[3] โรงเรียนนานาชาติ – ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยโรงเรียนนานาชาติมากมายทั่วประเทศในทุกระดับการสอนตั้งแต่ อนุบาลจนถึงในระดับมหาวิทยาลัย ที่มีหลักสูตรการสอนตามมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 

[4] ความปลอดภัย – ประเทศไทยนั้นมีอัตราอาชญากรรมที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ประเทศไทยมี safety index สูงเป็นอันดับสามและ อัตราอาชญากรรมอยู่ในอันดับ 7 จากบรรดา 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

[5] ความมีไมตรีจิต – นิสัยของคนไทยโดดเด่นในเรื่องของความเอาใจใส่ดูแล ในสายตาของชาวต่างชาติ คนไทยมีชื่อเสียงเรื่องจิตใจที่ยินดีให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น 

[6] การบริการด้านรักษาพยาบาล - ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการแพทย์โดยเฉพาะในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเครื่องมือที่ทันสมัยและการบริการที่เป็นเลิศ ซึ่งดึงดูดให้ชาวต่างชาตินิยมมาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทย 

[7] การยอมรับในทุกกลุ่มคน – สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากในประเทศไทย คือเปิดกว้างและการยอมรับผู้คนจากหลากหลายกลุ่มคน เช่น ประเทศไทยมีชื่อเสียงในการเป็นประเทศที่ยอมรับและเปิดกว้างในการแสดงออกอย่างอิสระสำหรับกลุ่ม LGBTQ เป็นต้น

จากบทความนี้ เราได้กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดการกับวิกฤตโควิด 19 ของประเทศไทย ซึ่งได้มาด้วยการร่วมมือร่วมใจของทุกๆฝ่ายและประชาชนคนไทย ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง เหมาะแก่การมาเยือน และมาพักอาศัย และทำให้ประเทศไทยนั้นกลายเป็น ที่พักอันแสนปลอดภัย สำหรับทุกๆ คน  

---

Download report here >>> Click

Let's block ads! (Why?)



"อย่างไร" - Google News
June 05, 2020 at 02:07PM
https://ift.tt/2z4g4MI

Safe Haven: ประเทศไทยรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างไร? - TERRABKK
"อย่างไร" - Google News
https://ift.tt/3ctjMND


Bagikan Berita Ini

0 Response to "Safe Haven: ประเทศไทยรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ได้อย่างไร? - TERRABKK"

Post a Comment

Powered by Blogger.